
ส่วนที่ 5:
วัฒนธรรมครอบครัวยังดำรงอยู่ เมื่ออิเอะอยู่เหนือกฎหมาย
แม้กฎหมายจะล้มล้างระบบอิเอะ แต่ในความจริง อิเอะยังไม่เคยจากไปจากธุรกิจญี่ปุ่น
หลังจากการรื้อถอนไซบัตสึ การปฏิรูปที่ดินและแรงงาน การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นมืออาชีพ และการเกิดขึ้นของเคเระสึ เราได้เห็นความพยายามของญี่ปุ่นในการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น และมีประสิทธิภาพตามแบบโลกสมัยใหม่มากขึ้น ทว่าเมื่อพินิจให้ลึกลงไป จะพบว่าธุรกิจญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังคงดำรง “แก่นวัฒนธรรมแบบครอบครัว” ไว้อย่างเหนียวแน่น แม้โครงสร้างภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
หัวใจของบทนี้อยู่ที่แนวคิดเรื่อง “อิเอะ” (家) ซึ่งแม้จะถูกยกเลิกโดยกฎหมายแพ่งฉบับใหม่ภายหลังสงคราม แต่กลับยังคงดำรงอยู่ในระดับความคิด ความสัมพันธ์ และวัฒนธรรมองค์กรของธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเรื่องการสืบทอดกิจการ การรักษาชื่อเสียงตระกูล และความผูกพันที่มากกว่าเพียงบทบาทหน้าที่
เนื้อหาในบทนี้จะสำรวจว่า ระบบอิเอะที่ถูกยกเลิกในทางนิตินัยนั้นยังคงมีบทบาทในทางพฤตินัยอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการสืบทอดตำแหน่งแบบทายาทคนเดียว การใช้ชื่อสกุลตระกูลเป็นสัญลักษณ์ของความไว้วางใจ หรือการรักษาความสัมพันธ์ภายในองค์กรแบบพี่น้องแม้ไร้สายเลือดแท้จริง อีกทั้งยังวิเคราะห์ความย้อนแย้งระหว่างแนวคิดเสรีนิยมที่เน้นประสิทธิภาพ กับค่านิยมแบบครอบครัวที่เน้นความภักดีและความต่อเนื่อง
เมื่ออ่านเนื้อหามาถึงบทนี้ จะเห็นได้ว่า ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นมิได้หยุดอยู่แค่การเปลี่ยนผ่านในเชิงระบบ หากแต่มีการดำรงอยู่ของร่องรอยวัฒนธรรมเก่าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกลายเป็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่ช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้มีเอกลักษณ์ มีรากฐาน และสามารถอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง
5.1 การยกเลิกระบบ “อิเอะ” โดยกฎหมาย มิได้ลบล้างรากวัฒนธรรม
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยงาน SCAP ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาได้บังคับให้ญี่ปุ่นยกเลิกระบบ “อิเอะ” (家制度) อย่างเป็นทางการในปี 1947 โดยผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และกฎหมายแพ่งที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล รวมถึงลดอำนาจของหัวหน้าครอบครัวในการควบคุมสมาชิกตามกฎหมาย
ระบบอิเอะเดิมนั้นมีลักษณะเป็น “ครอบครัวแบบสถาบัน” (institutional family) ที่มี 3 องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- ความเป็นครอบครัวหนึ่งเดียวทางกฎหมาย ไม่แยกตามสายเลือดแต่ยึดตามนามสกุล
- การสืบทอดโดยทายาทเพียงหนึ่งคน มักเป็นบุตรชายคนโต
- บทบาทของ “หัวหน้าครอบครัว” ที่มีอำนาจตัดสินใจทุกด้าน รวมถึงการสมรส มรดก และกิจการ
แม้กฎหมายจะล้มล้างระบบดังกล่าวอย่างชัดเจน แต่ในเชิงปฏิบัติ วัฒนธรรมอิเอะยังคงฝังแน่นอยู่ในโครงสร้างองค์กรธุรกิจครอบครัว และส่งผลต่อวิธีคิดเกี่ยวกับการสืบทอด การบริหารจัดการ และความสัมพันธ์เชิงอำนาจภายในบริษัท
5.2 พฤติกรรมเชิงวัฒนธรรมที่คงอยู่ในธุรกิจครอบครัว
ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นหลังสงครามจำนวนมากยังคงสืบทอดรูปแบบพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากระบบอิเอะ แม้จะไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายแล้วก็ตาม
ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่
- การสืบทอดโดยทายาทคนเดียว โดยเฉพาะบุตรชายคนโต หรือในกรณีไม่มีทายาทชายก็จะใช้ระบบมูโกะโยชิ (婿養子) รับลูกเขยเข้ามาใช้นามสกุลและดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดกิจการ
- การมอบหมายอำนาจอย่างช้า ๆ และตามลำดับอาวุโส ผู้สืบทอดต้องผ่านการฝึกฝนและพิสูจน์ตนในทุกตำแหน่ง ก่อนจะได้บริหารองค์กรจริง
- ความสัมพันธ์ในองค์กรแบบครอบครัวขยาย พนักงานอาวุโสเปรียบเสมือน “ลุง–ป้า” ขณะที่ผู้สืบทอดรุ่นใหม่มักได้รับการปกป้องและสั่งสอนโดยไม่ใช้ระบบ KPI เพียงอย่างเดียว
- การแต่งตั้งภายในตระกูล: คณะกรรมการบริษัทหลายแห่งมีสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้จะไม่มีบทบาทบริหารโดยตรง
พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนระบบ “อิเอะในใจ” (psychological ie) ซึ่งไม่ยึดตามกฎหมาย แต่ฝังแน่นในโครงสร้างเชิงวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
5.3 อิเอะเชิงสัญลักษณ์: วาทกรรม ชื่อเสียง และความมั่นคง
ในโลกธุรกิจที่แข่งขันสูง ความสามารถในการสร้าง “ความเชื่อมั่น” คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กร การธำรงชื่อเสียงของตระกูลผู้ก่อตั้งจึงมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่ากำไรระยะสั้น
ตัวอย่างเช่น
การใช้ชื่อสกุลเป็นชื่อบริษัท เช่น Toraya, Takashimaya, หรือ Shiseido ยังคงสื่อถึงต้นกำเนิดและคุณภาพ
- การรักษาสำนักงานใหญ่ในพื้นที่เดิม เพื่อแสดงความมั่นคงและรากฐานทางวัฒนธรรม
- การเน้นคุณค่าองค์กรที่สอดคล้องกับตำนานครอบครัว เช่น ความซื่อสัตย์ ความอดทน หรือการทำเพื่อส่วนรวม
สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างทุนทางวัฒนธรรม (cultural capital) ให้แก่องค์กร และเป็นส่วนหนึ่งของ “สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้” ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจญี่ปุ่นยุคใหม่
5.4 ความย้อนแย้ง: ระหว่างเสรีนิยมกับจิตวิญญาณครอบครัว
แม้ญี่ปุ่นจะยอมรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีและปรับใช้หลักการของตะวันตกในหลายด้าน แต่การคงอยู่ของระบบความสัมพันธ์แบบอิเอะสะท้อนถึง “ภาวะย้อนแย้ง” ระหว่างอุดมการณ์สมัยใหม่กับจิตวิญญาณดั้งเดิม
ธุรกิจจำนวนมากยังพยายามรักษา “ดุลยภาพ” ระหว่าง
- ความเป็นมืออาชีพ vs ความสัมพันธ์ทางสายเลือด
- การแข่งขันแบบเปิด vs ความจงรักภักดีภายใน
- KPI วัดผลแบบสากล vs ระบบความไว้วางใจและความดีความชอบในอดีต
ภาวะสองขั้วนี้มิได้เป็นอุปสรรค หากแต่เป็น “ภูมิปัญญาเชิงวัฒนธรรม” ที่ช่วยให้ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นสามารถรักษาทั้งประสิทธิภาพและอัตลักษณ์ไว้ได้พร้อมกัน

5.5 บทวิเคราะห์
แม้ระบบอิเอะจะถูกยกเลิกในทางกฎหมายมานานกว่า 70 ปี แต่บทบาทของมันในเชิงวัฒนธรรมกลับมิได้ลดลง ตรงกันข้าม อิเอะได้วิวัฒน์เป็น “ต้นแบบทางวัฒนธรรม” ที่ส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรม องค์ประกอบองค์กร และกลยุทธ์ในธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ระบบอิเอะทำหน้าที่ ดังนี้
- เครื่องมือส่งต่ออำนาจอย่างมีความหมาย
- แหล่งที่มาของความมั่นคงในช่วงเปลี่ยนผ่าน
- กรอบจริยธรรมภายในองค์กร
- สัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและคุณค่าร่วม
กล่าวได้ว่า อิเอะมิได้ถูกลบเลือนโดยกฎหมาย หากแต่กลายเป็น “ทุนเชิงวัฒนธรรม” ที่ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าเดิมในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นในยุคโลกาภิวัตน์

ส่วนที่ 6: บทส่งท้าย
แม้ญี่ปุ่นจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งจากแรงกดดันของฝ่ายสัมพันธมิตรและการปรับตัวของสังคมภายในประเทศ แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นไม่ได้ล่มสลายไปพร้อมกับโครงสร้างเดิม หากกลับปรับตัวอย่างยืดหยุ่นและดำรงอยู่ได้ในรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับบริบทสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น
การยุบกลุ่มไซบัตสึถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ ลดบทบาทของตระกูลใหญ่ที่เคยควบคุมทั้งธุรกิจ การเงิน และอุตสาหกรรม การปฏิรูปนี้ไม่ได้เพียงแค่ล้มล้างอำนาจเก่า แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ครอบครัวผู้ประกอบการรุ่นใหม่และรายย่อยสามารถเข้าสู่สนามธุรกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น ซึ่งส่งผลให้เกิดความหลากหลายของธุรกิจในระดับภูมิภาคควบคู่กันนั้น การปฏิรูปที่ดินช่วยลดอิทธิพลของเจ้าของที่ดินรายใหญ่ และเร่งให้ครอบครัวหันมาเน้นการประกอบธุรกิจด้านอุตสาหกรรม หรือการแปรรูปในระดับชุมชน ซึ่งกลายเป็นฐานสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยุคใหม่
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานที่เน้นสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรม ก็ทำให้ธุรกิจครอบครัวต้องละทิ้งรูปแบบการบริหารแบบพ่อปกครองลูก หันมาใช้ระบบการจัดการบุคคลที่มีโครงสร้างชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือ การถือกำเนิดของระบบเคเระสึ ซึ่งแม้จะไม่มีการควบคุมแบบสายเลือดดังเช่นไซบัตสึ แต่ก็ยังคงรักษาจิตวิญญาณของครอบครัวไว้ในระดับวัฒนธรรมองค์กร ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทในเครือไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานผลประโยชน์ระยะสั้น หากแต่ยึดถือความมั่นคง ความภักดี และความต่อเนื่องของเครือข่ายธุรกิจในระยะยาว สะท้อนลักษณะของ “ครอบครัวในเชิงระบบ” ที่ขยายขอบเขตออกไปจากสายเลือด
ท้ายที่สุด แม้ระบบ “อิเอะ” จะถูกยกเลิกโดยกฎหมาย แต่รูปแบบความคิดและพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากระบบอิเอะยังคงฝังแน่นในธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการสืบทอดโดยทายาทคนเดียว การรักษาชื่อเสียงของตระกูล หรือความสัมพันธ์ภายในองค์กรที่เปรียบเสมือนครอบครัวขยาย สิ่งเหล่านี้กลายเป็น “ทุนเชิงวัฒนธรรม” ที่ธุรกิจครอบครัวใช้ในการปรับตัวและรักษาอัตลักษณ์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่

กล่าวโดยสรุป ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นหลังสงครามไม่ได้สูญสลายไปกับโครงสร้างเดิม แต่สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทจากการควบคุมแบบเดิม มาสู่การดำรงอยู่ในรูปแบบใหม่ที่ผสานทั้งความเป็นมืออาชีพและวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง นี่คือบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง “พลังของการปรับตัวโดยไม่สูญเสียแก่นแท้” ซึ่งเป็นหัวใจของความยั่งยืนในบริบทธุรกิจครอบครัว
จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ”
จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 1-2 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=471
จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 3-4 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=472
จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 5-6 https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=473
ON MEDIA
https://www.smmagonline.com/2025/05/12/zaibatsu-keretsu/
https://mbamagazine.net/index.php/business/econ-move/item/13647-2025-05-08-10-56-34
#ธุรกิจครอบครัว #ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจครอบครัว #FAMZ
#การสืบทอดธุรกิจ #การบริหารธุรกิจครอบครัว
#ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว #บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว
#ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น #ไซมัตสึ #เคเระสึ #อิเอะ