FAMZ

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep.1/3

วิวัฒนาการธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นหลังสงคราม

13/05/2025

 

 

“เมื่อเสียงระเบิดแห่งสงครามสิ้นสุดลง อาณาจักรธุรกิจของตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่นกลับต้องเผชิญการล่มสลายจากภายใน ไม่ใช่ด้วยอาวุธ หากแต่ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างอย่างถอนราก—ทว่า ในเถ้าถ่านแห่ง “ไซบัตสึ”กลับก่อเกิดเครือข่ายใหม่ที่เรียกว่า “เคเระสึ” ซึ่งแม้จะไร้ชื่อของตระกูล แต่กลับสืบทอดจิตวิญญาณของธุรกิจครอบครัวไว้อย่างลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม”

 

สาระสังเขป
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โครงสร้างระบบทุนของญี่ปุ่นถูกสั่นคลอนครั้งใหญ่ และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงแก่นของระบบทุนเดิม “ไซบัตสึ” ซึ่งเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ควบรวมสายเลือด อำนาจ และเศรษฐกิจในกรอบครอบครัวเดียว ถูกรื้อถอนลงภายใต้ภารกิจของหน่วย SCAP เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและจำกัดอิทธิพลของชนชั้นผูกขาด 

 

อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดของไซบัตสึหาได้หมายถึง จุดจบของธุรกิจครอบครัวไม่ 
หากกลับเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการครั้งใหม่ในนามของ “เคเระสึ” – เครือข่ายธุรกิจที่ยืดหยุ่นแต่ฝังลึกด้วยความจงรักภักดีและคุณค่าร่วมแบบครอบครัว

 

การปฏิรูปที่ดินและแรงงานได้ขุดรากถอนโคนโครงสร้างอำนาจของเจ้าของที่ดินและระบบพึ่งพิงเชิงศักดินา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับครอบครัวผู้ประกอบการรายย่อย และวางรากฐานให้เกิด “ชนชั้นกลางผู้เป็นเจ้าของกิจการ” ซึ่งเป็นฐานพลังใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นมืออาชีพในธุรกิจครอบครัวตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้กลไกเฉพาะ เช่น ระบบมูโกะโยชิ และการแต่งตั้งผู้บริหารนอกครอบครัว เพื่อตอบโจทย์ทั้งประสิทธิภาพเชิงการจัดการ และความต่อเนื่องเชิงวัฒนธรรม

 

ขณะเดียวกัน การเกิดขึ้นของเคเระสึมิใช่เพียงโครงสร้างใหม่ของตลาดทุน แต่เป็นการ “กลายรูป” ของวัฒนธรรมครอบครัวในระดับจิตวิญญาณ เนื่องจากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ผูกขาดโดยสายเลือด หากแต่เชื่อมโยงกันด้วยความภักดี การถือหุ้นไขว้ ความช่วยเหลือระยะยาว และการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ร่วมกัน ซึ่งยังคงสะท้อนความเป็น “ครอบครัวองค์กร” อย่างชัดเจน

แม้ “ระบบอิเอะ” จะถูกยกเลิกทางกฎหมาย แต่วิธีคิดดังกล่าวก็ยังคงดำรงอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกของสังคมธุรกิจญี่ปุ่น การสืบทอดโดยทายาทคนเดียว ความสัมพันธ์เชิงอาวุโส การรักษาชื่อสกุล และการกำกับองค์กรผ่านจริยธรรมตระกูลล้วนเป็นหลักฐานของ “ทุนวัฒนธรรม” ที่มีผลจริง แม้จะอยู่นอกเหนือกรอบกฎหมาย

สรุปได้ว่า ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นมิได้ล่มสลายไปกับระบอบจักรวรรดิ หากแต่สามารถรอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ด้วยการปรับบทบาทจากการควบคุมโดยสายเลือดสู่การออกแบบระบบเชิงสัมพันธ์อย่างยืดหยุ่น โดยที่จิตวิญญาณของ “ครอบครัว” ยังคงขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเงียบงามและทรงพลังในทุกระดับของระบบเศรษฐกิจ



 


 

ส่วนที่ 1
การล่มสลายของไซบัตสึ จุดจบของระบบทุนที่สืบทอดกันมาตามสายตระกูลในญี่ปุ่น


จากทุนผูกขาดสู่เครือข่ายใหม่: 
จุดเปลี่ยนที่สั่นคลอนโครงสร้างครอบครัวในระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น

ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของญี่ปุ่น “ไซบัตสึ” ไม่ได้เป็นเพียงชื่อเรียกของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ แต่คือ ระบบที่ผนวกรวมอำนาจของครอบครัวเข้ากับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเงิน และการเมือง จนกลายเป็น “ระบบทุนที่สืบทอดกันมาตามสายตระกูล” ที่ควบคุมประเทศผ่านกลุ่มบริษัทในเครือ โครงสร้างการถือหุ้นซ้อนทับ และอำนาจของสายเลือดอย่างแน่นหนา

 

การล่มสลายของไซบัตสึภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจ หากแต่เป็นจุดเปลี่ยนเชิงสถาบันที่รื้อถอนฐานอำนาจของครอบครัวในภาคธุรกิจอย่างเป็นระบบ ภายใต้มาตรการจากหน่วยงาน SCAP ที่มุ่งทำลายอิทธิพลของกลุ่มทุนใหญ่ และเปิดทางให้เกิดการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี

 

เนื้อหาในบทนี้ได้สำรวจความหมายและโครงสร้างของไซบัตสึในยุคก่อนสงคราม พร้อมทั้งวิเคราะห์กลไกการรื้อถอนที่ส่งผลโดยตรงต่อครอบครัวผู้ก่อตั้งธุรกิจระดับชาติ โดยตั้งคำถามสำคัญว่า 
•    เมื่ออำนาจสายเลือดถูกสั่นคลอนจากภายนอก ครอบครัวญี่ปุ่นในภาคธุรกิจเลือกจะปรับตัวอย่างไร? 
•    จิตวิญญาณของการเป็น “เจ้าของกิจการแบบครอบครัว” ถูกลบเลือนหรือสืบสานในรูปแบบใหม่อย่างไรในบริบทหลังสงคราม?

ส่วนที่ 1 นี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการทำความเข้าใจพลวัตของธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นที่แม้จะถูกลดบทบาทเชิงโครงสร้าง แต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม กลยุทธ์ และบทบาทใหม่ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

1.1 ความหมายและโครงสร้างของไซบัตสึ
 

คำว่า “ไซบัตสึ” (Zaibatsu - 財閥) ในภาษาญี่ปุ่น ประกอบด้วย สองอักษรคันจิ ได้แก่ 
•    “財” (zai) หมายถึง “ทรัพย์สิน” หรือ “ความมั่งคั่ง” 
•     “閥” (batsu) หมายถึง “กลุ่ม” หรือ “กลุ่มอำนาจ” 

เมื่อนำมารวมกันจึงหมายถึง “กลุ่มทุนขนาดใหญ่” หรือ “ขั้วอำนาจเศรษฐกิจ” ซึ่งสะท้อนลักษณะของการผนวกอำนาจทางเศรษฐกิจเข้ากับอำนาจทางการเมืองและสังคมของครอบครัวผู้ก่อตั้ง

 

ไซบัตสึมิใช่เพียงกลุ่มธุรกิจทั่วไป หากแต่เป็น “ระบบนิเวศทางทุน” (capitalist ecosystem) ที่ยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด อำนาจ และทุน ผ่านโครงสร้างบริษัทโฮลดิ้งที่ครอบครัวเป็นเจ้าของหลัก โดยมีเครือข่ายของบริษัทในเครือ ธนาคารกลางของกลุ่ม และบริษัทผลิตหลากหลายประเภทอยู่ภายใต้การควบคุมแบบแนวดิ่งและแนวนอนพร้อมกัน

 
 


 

ตัวอย่างไซบัตสึที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ตระกูลมิตซุย (Mitsui) มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ซูมิโตโม (Sumitomo) และยาสุดะ (Yasuda) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมตั้งแต่ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ อาวุธไปจนถึงพลังงาน โดยใช้การถือหุ้นแบบพีระมิด (pyramid ownership) ผสานกับระบบ “ทุนนิยมแบบเครือญาติ” (kinship capitalism)

 

1.2 บทบาทของไซบัตสึในยุคจักรวรรดินิยม
ไซบัตสึมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในช่วงปลายยุคเมจิ (Meiji Restoration) ต่อเนื่องถึงช่วงขยายอาณาจักรของญี่ปุ่นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 กลุ่มทุนเหล่านี้ได้รับประโยชน์จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจยุคต้น โดยที่รัฐได้ถ่ายโอนโรงงาน อู่ต่อเรือ และทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เอกชนในนามของการสร้าง “ชั้นชนผู้ประกอบการ” เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจชาติ

 

ในระหว่างสงครามและการขยายอาณานิคม ไซบัตสึได้กลายเป็นเสาหลักทางอุตสาหกรรมที่สนับสนุนกองทัพญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น มิตซูบิชิผลิตเรือรบ ซูมิโตโมทำเหมืองในเกาหลีและไต้หวัน ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจและรัฐจึงไม่ได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่ผสานจนกลายเป็นโครงสร้างอำนาจที่เกื้อหนุนกันอย่างแน่นแฟ้น

 

1.3 เหตุผลและกลไกการรื้อถอนไซบัตสึหลังสงคราม
ภายหลังความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ควบคุมภายใต้ General Headquarters (GHQ) และหน่วย SCAP (Supreme Commander for the Allied Powers) ได้ริเริ่มแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อทำลายอำนาจของกลุ่มทุนที่เคยสนับสนุนลัทธิจักรวรรดินิยม และส่งเสริมการสร้างประชาธิปไตยในระดับเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ มาตรการที่นำมาใช้ ได้แก่:
•    การยึดหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งและจำหน่ายให้ประชาชนผ่านตลาดหลักทรัพย์
•    การปลดสมาชิกตระกูลออกจากตำแหน่งบริหาร
•    การห้ามถือหุ้นไขว้ระหว่างบริษัทในเครือเพื่อลดอิทธิพลเครือข่าย
•    การประกาศใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดในปี 1947

มาตรการเหล่านี้ส่งผลให้ไซบัตสึถูกยุบอย่างเป็นทางการ และเกิดการกระจายอำนาจทางทุนไปยังภาคประชาชนและผู้ประกอบการรายใหม่จำนวนมาก

 

1.4 ผลกระทบเชิงสถาบันและวัฒนธรรมต่อครอบครัวผู้ก่อตั้ง
แม้การรื้อโครงสร้างไซบัตสึจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ครอบครัวผู้ก่อตั้งจำนวนมากยังสามารถรักษาอิทธิพลไว้ในลักษณะที่ไม่เป็นทางการ เช่น การตั้งมูลนิธิ การคงตำแหน่งที่ปรึกษา หรือการเปลี่ยนบทบาทสู่การบริหารกิจการเฉพาะทางในอุตสาหกรรมที่ใช้ความเชี่ยวชาญสูง

 

นอกจากนี้ ครอบครัวบางกลุ่มยังปรับตัวเข้าสู่การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ การเงิน หรือกลายเป็นผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการ “ปรับตัวทางอำนาจ” (adaptive power) ของธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น ซึ่งมิได้หายไปหากแต่เปลี่ยนรูปแบบและฐานะ

 

 


 

1.5 บทวิเคราะห์
การล่มสลายของไซบัตสึไม่ใช่เพียงการรื้อถอนกลุ่มทุนผูกขาด แต่คือการยุติ “ระบบทุนที่สืบทอดกันมาตามสายตระกูล” ที่หลอมรวมสายเลือด อำนาจ และเศรษฐกิจไว้ในระบบเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถของครอบครัวไซบัตสึในการถ่ายทอดค่านิยม จิตวิญญาณ และวัฒนธรรมองค์กรผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ ยังคงส่งผลต่อวิธีคิด การจัดการ และการสร้างเครือข่ายของธุรกิจญี่ปุ่นในยุคหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบของเคเระสึที่กำลังจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป


 


 


ส่วนที่ 2
การปฏิรูปที่ดินและแรงงาน การเปิดพื้นที่ใหม่ของธุรกิจครอบครัว


เมื่อโครงสร้างอำนาจเก่าถูกถอดถอน 
รากฐานของธุรกิจครอบครัวใหม่จึงเริ่มหยั่งรากในดินและแรงงาน

ภายหลังการขุดรากถอนโคนไซบัตสึในบทที่แล้ว เราได้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงระดับ “ยอดพีระมิด” ที่ทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ต้องสลายอำนาจและปรับตัว แต่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ลึกยิ่งกว่านั้นยังเกิดขึ้นในระดับฐานรากของสังคมญี่ปุ่น โดยเฉพาะผ่าน “การปฏิรูปที่ดิน” และ “การปฏิรูปแรงงาน” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงนโยบายเชิงเทคนิค หากเป็นการรื้อระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบศักดินาที่ฝังรากลึกมายาวนาน

 

การปฏิรูปที่ดินในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 ได้เปลี่ยนฐานะของเกษตรกรเช่าที่ดินให้กลายเป็นเจ้าของที่ดินรายย่อย ขณะที่การปฏิรูปแรงงานได้เปลี่ยนแรงงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาในระบบครอบครัวมาเป็นพลเมืองในระบบเศรษฐกิจเสรีที่มีสิทธิในการรวมกลุ่มเจรจา และปกป้องตนเองอย่างเป็นระบบ 

 

การเปลี่ยนแปลงทั้งสองด้านนี้มิได้เพียงเปลี่ยนความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทและแรงงานในเมือง แต่ยังเปิดพื้นที่ใหม่ให้ธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่เกิดขึ้น เติบโต และดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

 

เนื้อหาในส่วนนี้จะลงสู่ระดับฐานของสังคมเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคเปลี่ยนผ่าน โดยวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงในระดับ “ดิน” และ “แรง” มีบทบาทอย่างไรในการปูทางให้ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นสามารถสลัดบทบาทจากผู้รับใช้ระบบเดิมมาเป็นผู้ประกอบการในระบบใหม่ได้สำเร็จ และเหตุใดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงเป็นมากกว่านโยบายเศรษฐกิจ – หากแต่เป็นจุดตั้งต้นของวัฒนธรรมธุรกิจแบบใหม่ที่ญี่ปุ่นกำลังสร้างขึ้นอย่างเงียบงาม

 

2.1 บริบททางประวัติศาสตร์ของการถือครองที่ดินและโครงสร้างแรงงานในญี่ปุ่นก่อนสงคราม
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของญี่ปุ่นยังคงสะท้อนมรดกของระบบศักดินาและอิทธิพลของตระกูลขุนนางในชนบท การถือครองที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือของตระกูลใหญ่และชนชั้นปกครองซึ่งไม่ได้มีบทบาทเฉพาะในการผลิต แต่ยังควบคุมทั้งอำนาจรัฐและเครือข่ายธุรกิจในระดับท้องถิ่น
ในบริบทของธุรกิจครอบครัว เจ้าของที่ดินจำนวนมากได้ขยายกิจการไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเบา เช่น โรงสีข้าว โรงงานสิ่งทอ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พื้นที่เพาะปลูกของตนเอง 

 

โครงสร้างของกิจการเหล่านี้มีลักษณะกึ่งศักดินา โดยเจ้าของเปรียบเสมือน “โอยาบุน” (親分 – หัวหน้าครอบครัว) ส่วนแรงงานเป็น “โคบุง” (子分 – ผู้ภักดี) สะท้อนการบริหารงานที่ผสานอำนาจในเชิงบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมเข้ากับอำนาจทางเศรษฐกิจ

 

2.2 การปฏิรูปที่ดิน: การรื้อโครงสร้างอำนาจจากเบื้องล่าง
ภายหลังการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น กองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุมของ SCAP ได้มองเห็นว่า โครงสร้างการถือครองที่ดินแบบรวมศูนย์ของญี่ปุ่น คือ รากเหง้าของระบบชนชั้นและความไม่เท่าเทียม ซึ่งขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม การปฏิรูปที่ดินจึงกลายเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญควบคู่กับการรื้อไซบัตสึ

 

มาตรการดังกล่าวดำเนินการระหว่างปี ค.ศ. 1946–1949 ประกอบด้วย 
•    การกำหนดเพดานสูงสุดของจำนวนที่ดินที่เจ้าของคนหนึ่งสามารถครอบครองได้
•    การเวนคืนที่ดินส่วนเกินจากเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในราคาต่ำ
•    การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้เช่าหรือเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกโดยตรง
•    การจัดตั้งองค์กรบริหารการเปลี่ยนผ่าน เช่น Land Committees ในระดับหมู่บ้านและเมือง

 

ผลลัพธ์ของการปฏิรูปที่ดินคือการเปลี่ยนโครงสร้างกรรมสิทธิ์ที่ดินในชนบทญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง โดยลดบทบาทของตระกูลขุนนางและเจ้าของที่ดินรายใหญ่ และสร้าง "ชนชั้นกลางในชนบท" (rural middle class) ที่มีฐานะเป็นเจ้าของที่ดินรายย่อย ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและการเปิดพื้นที่ใหม่สำหรับการพัฒนาธุรกิจโดยครอบครัวผู้ประกอบการรุ่นใหม่

 

2.3 การปฏิรูปแรงงาน: จากระบบพึ่งพิงสู่สิทธิและสถาบัน
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นยังได้ดำเนินการปฏิรูปแรงงานในระดับโครงสร้าง ซึ่งครอบคลุมถึง
•    การออกกฎหมายรับรองสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
•    การประกาศใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงาน (Labour Standards Act, 1947)
•    การสร้างระบบการเจรจาต่อรองระหว่างแรงงานกับนายจ้าง
•    การสนับสนุนการจ้างงานที่โปร่งใสและยุติธรรมในสถานประกอบการทุกระดับ

 

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลโดยตรงต่อวิธีการบริหารแรงงานในธุรกิจครอบครัวขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งแต่เดิมมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างเจ้าของกับลูกจ้าง แรงงานในโรงงานของครอบครัวไม่เพียงทำหน้าที่ผลิต หากยังมีความสัมพันธ์ทางสังคมและจิตวิญญาณกับเจ้าของ เสมือนอยู่ใน “เครือข่ายครอบครัวขยาย”

 

อย่างไรก็ตาม ระบบใหม่นี้ได้ “แยกบทบาท” ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ชัดเจนขึ้น นำไปสู่การลดอำนาจการควบคุมเชิงวัฒนธรรมของเจ้าของครอบครัว และเปิดพื้นที่ให้เกิดระบบการจัดการแบบมืออาชีพที่ตั้งอยู่บนฐานของสิทธิ กฎหมาย และการประเมินผลงาน

 

2.4 ผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัว: การเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างใหม่
จากทั้งการปฏิรูปที่ดินและแรงงาน ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นจำนวนมาก โดยเฉพาะในระดับภูมิภาค ต้องเผชิญการปรับตัวครั้งใหญ่ บางส่วนเปลี่ยนจากเจ้าของที่ดินมาสู่บทบาทใหม่ ในฐานะผู้ประกอบการอุตสาหกรรม บางส่วนหันไปดำเนินธุรกิจในภาคการแปรรูปอาหาร พาณิชย์ท้องถิ่น หรือการผลิตขนาดย่อม โดยอาศัยทุนทางสังคมและชื่อเสียงในชุมชน

 

สิ่งที่สำคัญ คือ ธุรกิจครอบครัวเหล่านี้มิได้ล่มสลายไปกับระบอบเดิม หากแต่ “วิวัฒน์” ผ่านการย่อส่วน ปรับบทบาท และเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อความอยู่รอดในสภาพเศรษฐกิจเสรีนิยมที่ไม่เอื้อต่ออำนาจแบบศักดินาอีกต่อไป

 

2.5 บทวิเคราะห์
การปฏิรูปที่ดินและแรงงานมิได้เป็นเพียงการจัดสรรทรัพยากรใหม่ในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจอย่างเป็นระบบซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นในทุกมิติ ทั้งในด้านสถาบัน จิตวิญญาณ และความสัมพันธ์ระหว่างรุ่น เมื่อฐานอำนาจแบบเจ้าที่ดินพังทลายลง ธุรกิจครอบครัวจำเป็นต้องฟื้นตัวในฐานะ “ผู้ประกอบการ” ที่แข่งขันในตลาดเสรี และต้องเรียนรู้ที่จะบริหารงานบนฐานของความสามารถ ความยืดหยุ่น และการเคารพสิทธิของแรงงานอย่างเป็นระบบ

 

 


 

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ”

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 1-2  https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=471

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 3-4  https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=472

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep. 5-6  https://www.famz.co.th/page/article_detail/?da_id=473

 


 

ON MEDIA

https://www.smmagonline.com/2025/05/12/zaibatsu-keretsu/

https://mbamagazine.net/index.php/business/econ-move/item/13647-2025-05-08-10-56-34

 

 

#ธุรกิจครอบครัว #ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจครอบครัว #FAMZ

#การสืบทอดธุรกิจ #การบริหารธุรกิจครอบครัว

#ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว #บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว

#ธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่น #ไซมัตสึ #เคเระสึ #อิเอะ

related

สมาคมนักศึกษาเก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ จับมือ คณะวิทยพัฒน์ ม.หอการค้าไทย, FAMZ, จัดหลักสูตร “บริหารกงสีให้สำเร็จอย่างยั่งยืน”

25/09/2023

Read

ต้นทุนราคาแพงที่ต้องจ่าย หากวางแผนสืบทอดไม่ดี

29/02/2024

Read

จาก “ไซบัตสึ” สู่ “เคเระสึ” ep.3/3

วิวัฒนาการธุรกิจครอบครัวญี่ปุ่นหลังสงคราม

06/05/2025

Read

การสร้างธุรกิจครอบครัวให้เป็นมรดกตกทอด

06/08/2024

Read