FAMZ

มุุมมองคนรุ่นปัจจุบัน VS คนรุ่นใหม่ สู่การสืบทอดธุรกิจที่ยั่งยืน

18/05/2025

 

 

เมื่อพูดถึงธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่อกันหลายรุ่น แน่นอนว่า.มุมมองของแต่ละรุ่นย่อมต่างกันแม้เจอปัญหาเดียวกัน แต่สิ่งที่พ่อแม่มองกับสิ่งที่ลูกหลานเห็นอาจตรงข้ามโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องของแผนสืบทอดธุรกิจ

 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ Deloitte Private ในปีพ.ศ. 2567 พบว่า มีเพียง 24% ของคนรุ่นปัจจุบันที่เชื่อมั่นว่า ธุรกิจจะเดินหน้าต่อได้ราบรื่น หากสมาชิกหลักลาออก เกษียณ หรือเสียชีวิต เพราะมองว่ามีแผนสืบทอดที่ชัดเจน ขณะที่คนรุ่นใหม่มีสัดส่วนเพียง 13% เท่านั้นที่เห็นด้วย

 

ตัวเลขที่ต่างกันมากเช่นนี้ บวกกับสัดส่วนที่น้อยของทั้งสองกลุ่ม ไม่เพียงสะท้อนช่องว่างระหว่างวัย แต่ยังตอกย้ำว่า ธุรกิจครอบครัวต้องรีบจัดการปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ก่อนที่ความไม่มั่นใจจะกลายเป็นจุดอ่อนที่ส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว

 

แม้สมาชิกรุ่นปัจจุบันจะพยายามเตรียมคนรุ่นใหม่ให้รับมือกับการสืบทอดกิจการ แต่ผลสำรวจชี้ว่าการสื่อสารยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไข โดยข้อมูลน่าสนใจจาก Deloitte Private ระบุถึงการจัดการของผู้บริหารรุ่นปัจจุบันว่า

33% มุ่งสอนให้ลูกหลานเข้าใจโครงสร้างการบริหารองค์กร
32% จัดประชุมหารือแผนธุรกิจระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ
32% เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่สร้างเครือข่ายกับคู่ค้าและพันธมิตร


แต่ความพยายามเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ ตามคำวิเคราะห์ของ Wendy Diamond ผู้เชี่ยวชาญจาก Deloitte Private ที่ชี้ว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่การสื่อสารระหว่างรุ่นที่ยังคลุมเครือ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ 3 ข้อที่มักถูกมองข้าม ได้แก่

  • ใครคือผู้สืบทอด ซึ่งต้องชัดเจนว่า จะเลือกคนในครอบครัวหรือบุคคลภายนอก
  • โครงสร้างความเป็นเจ้าของจะเปลี่ยนไปอย่างไร หากสมาชิกหลักเสียชีวิตหรือออกจากตำแหน่ง
  • บทบาทของบอร์ดบริหารว่า จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน


สรุปได้ว่า แม้จะมีแผนเตรียมความพร้อมหลากหลาย แต่หากขาดการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การสืบทอด ความพยายามทั้งหมดอาจสูญเปล่า เพราะไม่ว่าคนรุ่นใหม่จะมีความรู้หรือเครือข่ายดีแค่ไหนก็ย่อมลังเล หากไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติของธุรกิจครอบครัวจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังการส่งมอบอำนาจ

 

ด้วยเหตุที่ธุรกิจครอบครัวมักเผชิญความท้าทายด้านอารมณ์ความรู้สึก เมื่อต้องวางแผนสืบทอดกิจการ ดังนั้นบอร์ดบริหาร (โดยเฉพาะที่มีสมาชิกอิสระ) จึงมีบทบาทสำคัญในการออกแบบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพราะบอร์ดสามารถมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบจากการเปลี่ยนผู้นำและโครงสร้างความเป็นเจ้าของต่อธุรกิจ รวมถึงหาวิธีลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน เช่น ผลกระทบทางภาษีที่ไม่คาดคิดจากการเสียชีวิตของเจ้าของ

 

นอกจากนี้ การสำรวจพบว่า 

การจ้างและรักษาพนักงาน (23% และ 11%) Diamond อธิบายว่า คนรุ่นเก่าที่ไม่คุ้นชินกับการทำงานแบบไฮบริดหรือการทำงานระยะไกลอาจกังวลเรื่องการจ้างและรักษาพนักงานมากกว่า ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่า การที่ลดข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ลงจะทำให้เข้าถึงคนเก่งได้มากขึ้น
 

โครงสร้างเงินทุน (24% และ16%) คนรุ่นปัจจุบันมักระมัดระวังการก่อหนี้และไม่เปิดรับนักลงทุนรายย่อย ขณะทึ่คนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์จากแวดวงธุรกิจอื่นอาจคุ้นชินกับการระดมทุนหลากหลายรูปแบบ
 

ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจ (20% และ 12%) รายงานของ Deloitte ชี้ว่า คนรุ่นใหม่อาจยังไม่ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในอนาคต ซึ่งความเห็นต่างนี้เกิดจากประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน โดยคนรุ่นปัจจุบันเรียนรู้จากธุรกิจครอบครัวมายาวนาน ส่วนคนรุ่นใหม่ได้รับอิทธิพลจากการทำงานภายนอก การรวมเอามุมมองจากคนทั้งสองรุ่นเข้าด้วยกัน อาจช่วยสร้างสมดุลระหว่างความระมัดระวังของรุ่นเก่าและความเปิดกว้างของรุ่นใหม่ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ยั่งยืน


สำหรับมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่ออนาคตของธุรกิจครอบครัวขึ้นอยู่กับระดับการมีส่วนร่วมในด้านกลยุทธ์และการตัดสินใจ ผลสำรวจพบว่า

คนรุ่นปัจจุบันมองว่า คนรุ่นใหม่มีบทบาทในการตัดสินใจสูงถึง 28% แต่คนรุ่นใหม่กลับรู้สึกเช่นนั้นเพียง 15% โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีรายได้น้อยกว่า 500 ล้านดอลลาร์ มีเพียง 7% ของคนรุ่นใหม่ที่รู้สึกว่า ตนมีบทบาทจริงๆ ซึ่งความต่างนี้อาจเกิดจากการตีความคำว่า “การมีส่วนร่วม” (Participation) และ “การมีส่วนเกี่ยวข้อง” (Engagement) ที่ไม่ตรงกัน เช่น คนรุ่นปัจจุบันอาจคิดว่า การให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารคือการมีส่วนร่วม แต่สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว การมีส่วนร่วมที่แท้จริง คือ การได้มีสิทธิ์ออกเสียงในการตัดสินใจ Diamond อธิบายว่า แม้คนรุ่นใหม่จะเข้าร่วมประชุมทุกครั้ง แต่สุดท้าย ผู้ตัดสินใจจริงๆ ก็ยังเป็นผู้นำรุ่นใหญ่ในครอบครัว


ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้ต้องอาศัยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาภายในแต่ละครอบครัวธุรกิจ โดยมีทั้งผู้นำที่เป็นสมาชิกในครอบครัวและผู้นำที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะหากไม่มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยก็จะเป็นเพียงการคาดเดาเอาเองเท่านั้น การสื่อสารที่ต่อเนื่อง โปร่งใส และสร้างความไว้ใจคือกุญแจสำคัญ

 

ผู้นำธุรกิจควรพยายามเข้าใจมุมมองที่หลากหลาย ทั้งจากสมาชิกครอบครัว ผู้สืบทอดที่มีศักยภาพ และผู้บริหารที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัว ผ่านการตั้งสภาครอบครัว (Family Council) เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์กับแผนและเป้าหมายขององค์กร เพราะการสื่อสารไม่ใช่แค่เพื่อรับรู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สิ่งสำคัญ คือ การเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้นด้วย

 

#ธุรกิจครอบครัว #ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจครอบครัว #FAMZ 
#การสืบทอดธุรกิจ #การบริหารธุรกิจครอบครัว 
#ที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว #บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว

 

ที่มา: Needles, Z. (2024, May 29). Bridging the generational divide on succession, risk and engagement. Family Business Magazine. 

https://familybusinessmagazine.com/ownership/bridging-the-generational-divide-on-succession-risk-and-engagement/
 

 

related

ธรรมนูญครอบครัว ที่ส่งให้ คิคโคแมน ยืนยงเป็นร้อยปี

27/05/2023

Read

ธุรกิจครอบครัวกำลังทำลายครอบครัวของท่านอยู่หรือไม่

27/07/2024

Read

การปกป้องธุรกิจครอบครัวเมื่อเกิดการหย่าร้าง

28/04/2024

Read

“ชิลล์ๆ” คุยกันแบบ “เปิดใจ” ในธุรกิจครอบครัว

16/06/2024

Read